6 องค์กรสื่อกดดัน ยกเลิกปิดปาก บุกทำเนียบจี้ “บิ๊กตู่” (คลิป)
บันทึก
SHARE
6 องค์กรวิชาชีพสื่อบุกทำเนียบ จี้ “บิ๊กตู่” ยกเลิกคำสั่ง ติดหนวด หวั่นถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามเสรีภาพสื่อ-ประชาชน ฮึ่มขืนเพิกเฉยจะยกระดับกดดัน โฆษก รบ.แจงเป้าหมาย ทุบข่าวปลอม ไม่เจตนาปิดปากสื่อ วาระด่วน กสทช.เรียกถกค่ายมือถือ พท.ย้อนคนที่โดนควรเป็นฝ่ายรัฐบาล ฉะตัวดีต้นตอปล่อยข่าว ก้าวไกลจวกมองประชาชนเป็นศัตรู “ตั๊น” เตือนยิ่งสร้างความหวาดระแวง “เชาว์” ชี้ผู้นำวิตกจริต ใช้อำนาจปิดปากได้ แต่ปิด ความจริงไม่ได้ “ตู่” ลั่นไม่ใช่เวลายุบสภา-ลาออก “ปู” แซะวิสัยทัศน์ผู้นำพาชาติรอด “ลายจุด” แย้ม คาร์ม็อบบิ๊กเบิ้มแน่ “ไผ่” นำทีมกดดัน ภท.-ปชป. ถอนตัว คน ปชป.โวยแหลกเด็กเวร
6 องค์กรวิชาชีพสื่อเดินหน้าลุย บุกทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือจี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ยกเลิกข้อกำหนดฉบับที่ 27, 29 ที่สุ่มเสี่ยงถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้
ข่าวแนะนำ
6 องค์กรสื่อบุกล้มคำสั่งติดหนวด
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 30 ก.ค. ที่ห้องรับรอง 1 ทำเนียบรัฐบาล นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พร้อมผู้แทน 6 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ประกอบด้วย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ผ่านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ยกเลิกข้อกำหนดฉบับที่ 27 ข้อ 11 และข้อกำหนดล่าสุดฉบับที่ 29 ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาตรา 9 ที่สุ่มเสี่ยงถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนที่ได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 34-35
ขืนไม่เลิกพร้อมยกระดับกดดัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จดหมายเปิดผนึกยังระบุว่าข้อกำหนดดังกล่าวให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐเอาผิดได้แม้เพียงแค่ “ข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว” โดยปราศจากหลักเกณฑ์หรือขอบเขตของการใช้อำนาจที่ชัดเจน ดังนั้น ประชาชนและสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข้อเท็จจริงหรือความจริง อาจถูกดำเนินคดีหรือคุกคามจากหน่วยงานรัฐได้ อีกทั้งตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนออกแถลงการณ์แสดงความกังวลขอให้รัฐบาลทบทวนการออกข้อกำหนดข้างต้น หรือจัดทำแนวปฏิบัติให้เห็นถึงเจตนารมณ์ในการบังคับใช้ เพื่อป้องกันนำไปเป็นเครื่องมือปิดกั้นการทำหน้าที่เสนอข่าวของสื่อมวลชน และการแสดความคิดเห็นโดยสุจริตของประชาชน แต่กลับถูกเพิกเฉย และยังออกข้อกำหนดฉบับที่ 29 ซ้ำอีกครั้ง โดยขยายขอบเขตการใช้อำนาจจำกัดเสรีภาพการแสดงความเห็นของประชาชน และสื่อมวลชนให้กว้างขวางออกไปอีก ดังนั้น 6 องค์กรสื่อขอเรียกร้องให้ยกเลิกข้อกำหนดทั้ง 2 ฉบับทันที หากนายกฯยังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้อง 6 องค์กรสื่อจะเพิ่มมาตรการกดดันให้รัฐบาลต้องพิจารณายกเลิกข้อกำหนดดังกล่าว ทั้งมาตรการทางด้านกฎหมาย และมาตรการทางสังคมจนถึงที่สุด
หนุนรัฐบาลสกัดกั้นเฟกนิวส์
นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า องค์กรสื่อมีข้อห่วงใยและมีความวิตกกังวลต่อข้อกำหนดฉบับที่ 27 และฉบับที่ 29 จึงตัดสินใจยื่นหนังสือต่อนายกฯ ที่ผ่านมาองค์กรสื่อทำงานร่วมกับภาครัฐมาโดยตลอด ทั้งกรมประชาสัมพันธ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) รวมทั้ง ศปก.ศบค.อย่างใกล้ชิดผ่านช่องทางไลน์อยู่แล้ว ขอยืนยันผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเห็นด้วยกับรัฐบาลที่สกัดกั้นข่าวปลอม ไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง
แจงยิบต้องการทุบข่าวปลอม
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ข้อกำหนดที่ออกมาเป็นเพียงการปิดช่องว่างกฎหมายที่มีข้อจำกัดในการบังคับใช้ รัฐบาลมีเจตนารมณ์เพียงยกระดับการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสกัดกั้นการเผยแพร่ข่าวปลอม รวมทั้งการกระทำที่เป็นการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ไม่ได้เจาะจงหรือตั้งใจบังคับใช้กับสื่อมวลชนวิชาชีพ แต่เป็นที่รับทราบโดยทั่วไปว่ามีการสื่อสารสาธารณะผ่านแพลตฟอร์มต่างๆที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ไม่ได้นำมาจากข้อเท็จจริง ไม่สามารถควบคุมและมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สังคม ประชาชนเกิดความหวาดระแวงหรือหวาดกลัว โดยเฉพาะวิกฤติโควิด-19 ขณะนี้ในหลายประเทศพบปัญหาการเผยแพร่ข้อความเท็จข่าวปลอมจำนวนมากเช่นกัน และนายกฯให้นโยบายแก่หน่วยที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมาย ต้องระมัดระวัง ต้องเป็นธรรม และสอดคล้องกับสถานการณ์
ยัน “ผู้นำ” ไม่มีเจตนาปิดปากสื่อ
นายอนุชากล่าวว่า นายกฯและรัฐบาลยืนยันไม่มีเจตนาปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชนวิชาชีพ พร้อมเชิญชวนสื่อมวลชนและองค์การสื่อวิชาชีพ ร่วมกับภาครัฐแสวงหาพื้นที่กลาง (Common Ground) เพื่อร่วมกันออกแบบกรอบการทำงาน และเป็นช่องทางประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานประชาสัมพันธ์ภาครัฐ และสื่อมวลชน รวมทั้งยังได้เพิ่มเติมให้มีการใช้ช่องทางโฆษกกระทรวง ที่มีภาระหน้าที่สื่อสารให้ข้อมูลอำนวยความสะดวกเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการติดต่อประสานข้อมูล อย่างไรก็ตาม วันนี้สื่อมวลชนและรัฐบาลเห็นพ้องร่วมกัน มีความจำเป็นต้องสกัดกั้นข่าวปลอม เพราะข้อมูลที่ถูกต้องคือประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
วาระด่วน กสทช.ถกค่ายมือถือ
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ได้เชิญผู้แทนกระทรวงดีอีเอส กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตในประเทศ (ISP) และผู้ให้บริการมือถือมาหารือทำความเข้าใจ และกำหนดแนวทางดำเนินการตามข้อกำหนดดังกล่าว ยืนยันว่า กสทช.จะไม่ก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพในการติดตามสื่อสาร ประชาชนและสื่อมวลชนอย่าได้กังวล จะไม่มีการปิดกั้นการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย แต่จะดูแลในส่วนของข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงเท่านั้น
พท.ย้อนคน รบ.ควรโดนมากกว่า
ขณะที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงมาตรการรัฐบาลที่บังคับใช้กฎหมายเข้มข้นกับสื่อมวลชนและประชาชน ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวการบริหารงานของรัฐบาลว่าก่อนจะบังคับใช้มาตรการดังกล่าวกับประชาชนและสื่อมวลชน ควรบังคับใช้กับรัฐบาลก่อน ถ้าใช้กฎหมายตรงไปตรงมาไม่สองมาตรฐาน รัฐบาลอาจถูกดำเนินคดีมากกว่า อาทิ กรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข เคยบอกว่าไตรมาสที่ 3 วัคซีนจะล้นโรงพยาบาล บอกว่าไม่มีการเลื่อนฉีดวัคซีนก็เลื่อนมากกว่า 100 แห่ง ถือเป็นข้อความเท็จหรือไม่ การตั้งทีมเฉพาะกิจไล่ล่าเฟกนิวส์กับประชาชนและสื่อควรตรวจสอบพวกเดียวกันก่อน สะท้อนการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาที่ผิดพลาด ไม่ใช่หมดปัญญาแก้ปัญหาก็มาไล่จับเฟกนิวส์
ฉะรัฐบาลตัวดีต้นตอปล่อยข่าว
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลมีอำนาจมากมายจะไปกลัวเฟกนิวส์ทำไม การแก้ที่ดีที่สุดคือนายกฯต้องพูดความจริงกับประชาชน ไม่ใช่ไปไล่จับ และต้นตอความผิดเกิดจากรัฐบาล เพราะศิลปิน ดารา พี่น้องประชาชนอึดอัดใจกับการบริหารงานที่ล้มเหลวซ้ำซาก จึงออกมาสื่อสารกับประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยพูดความจริงในการแก้ปัญหาโควิด ว่ามีวิธีบริหารจัดการอย่างไร ที่นายกฯสั่งการให้กองทัพออกไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ถึงเวลานี้ยังไม่เห็นมีหน่วยงานลงไปช่วยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะรถกู้ชีพของกองทัพที่มีจำนวนมาก แต่กลับจอดตายในหน่วยไม่เคยนำออกมารับใช้ประชาชน ทุกวันนี้มีแต่ผู้แทนราษฎรในพื้นที่วิ่งวุ่นหารถรับผู้ติดเชื้อกลับไปรักษาในพื้นที่ของตัวเอง หรือทหารมีหน้าที่ยึดอำนาจเท่านั้น
ปิดปากสร้างความหวาดกลัว
น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวตอบโต้ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่ามีการจัดฉากภาพผู้เสียชีวิตนอนริมถนน เพื่อสร้างสถานการณ์ว่า อยากให้ น.ส.ทิพานันลดอีโก้ให้น้อยลง มองคนให้เป็นคนมากขึ้น อย่ามุ่งขายจิตวิญญาณเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนในรัฐบาล จนมองไม่เห็นศพคนตาย หากมีหลักฐานจริงควรนำข้อมูลไปแจ้งความดำเนินคดี ดีกว่ามากล่าวโทษประชาชนผู้สูญเสียแบบนี้ ขณะที่การออกข้อกำหนดใหม่ ฉบับที่ 29 เพื่อคุมในสื่ออินเตอร์เน็ต สะท้อนว่ารัฐบาลมีเจตนาไล่ปิดปากประชาชน หวังทำให้เกิดความกลัวเพื่อปกป้องตัวเอง �
Related Keywords