เปิดใจอดีตนักร้อง หนุ่ม เสกสรร ล้มละลายเป็นหนี้ 1000 ล้านจนคิดฆ่าตัวตาย!
อดีตนักร้องนักแสดงยุค 80
หนุ่ม เสกสรร มาเปิดเผยเส้นทางในวงการบันเทิงกว่า 34 ปี และประสบการณ์การทำธุรกิจจนล้มละลาย เป็นหนี้ 1,000 ล้าน อีกทั้งเคยเครียดจัดถึงขั้นเกือบฆ่าตัวตายมาแล้ว พร้อมเปิดเผยข้อสงสัยเป็นเด็กของป๋าเปรมจริงหรือไม่ รวมถึงเรื่องราวชีวิตครอบครัวกับภรรยานางงามที่อายุห่างกันกว่า 21 ปี ผ่านทางรายการ
คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มี
พีเค ปิยะวัฒน์ และ
ใบเฟิร์น พัสกร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
พี่อยู่ในวงการ 34 ปี?
หนุ่ม : ประมาณ 34 ปี ตอนนั้นเข้ามาในเรื่องเกมโชว์ คู่หูพลิกล็อค พอเล่นแล้วผมชนะได้แจ็คพ็อต ได้รถยนต์ พอเจ้าของบริษัทเขาเห็นเล่นสนุก ร้องเพลงได้ไหม ตอนแรกให้เล่นละคร เรื่องเทวดาตกสวรรค์ แต่ว่าช่วงที่ไปเล่นใหม่ๆ ผมไม่ได้เทรนเลยว่าอารมณ์อย่างนี้ต้องพูดยังไง สุดท้ายเขาเปลี่ยนตัว หลังจากนั้นเจ้าของบริษัทเหมือนสงสาร ถามว่าร้องเพลงได้ไหม ลองร้องให้ฟัง ตอนนั้นเขาเปิดค่ายเพลงคีตาพอดี ผมก็เลยได้เป็นศิลปินเบอร์แรกของคีตา
แต่ก่อนหน้านี้เป็นพ่อค้าขายผลไม้มาก่อน?
หนุ่ม : จริงๆ แล้วเราเป็นเด็กที่บ้านมีสวนมะม่วง สวนมะพร้าว เวลามะม่วงออกเราก็เอามะม่วงมาตั้งขายที่ตลาด ใส่ถุงไปขายที่โรงเรียน
เมื่อก่อนเห็นรูปแล้วผ่านเลยนะ?
หนุ่ม : จริงๆ ผมก็ไม่ได้ดังมากมาย ทุกชุดออกมาก็ขายได้ เพลงคิดทุกชุด เราก็ไปเล่นคอนเสิร์ต คืออย่างน้อยเราก็รู้ว่า fc เป็นยังไง แต่ fc ยุคนี้หนักกว่ายุคก่อนนะ คือยุคก่อนเขาไม่ได้ตามแบบทวีคูณ เขาอาจจะรู้ว่าเราไปเล่นคอนเสิร์ตจังหวัดไหน เขาไป 10 คน อัดรายการไหน ไป 10 คน เราก็จะมีแฟนคลับประจำประมาณ 10-20 คนที่คอยเทคแคร์
มีเจอแปลกๆ ไหม?
หนุ่ม : ผมเคยเจอตอนผมไปเล่นคอนเสิร์ตต่างจังหวัด เข้าลิฟท์ปุ๊บเขาถกเสื้อเลย โชว์หน้าอก ผมกดเปิดลิฟท์หนีเลย มันมาไม่ทันตั้งตัว แต่โชคดีมีผู้จัดการกันไว้
พอออกอัลบั้มแรกประสบความสำเร็จเลย?
หนุ่ม : ผมโชคดีได้นักแต่งเพลง นักดนตรีเนี๊ยบ เราลองเทสหลายหนมาก ผมโชคดีที่ผมร้องเพลงรักแล้วผมโดน ถ้าเราไปร้องเพลงเร็วอาจจะไม่โดน แล้วก็ไม่ได้สัมภาษณ์แบบนี้เลย
ไม่ได้สัมภาษณ์มานานแค่ไหน?
หนุ่ม : ผมว่าอย่างน้อยก็หลายสิบปี ถ้าประเภททางการแบบนี้ ผมว่าอย่างน้อยก็มี 20 กว่าปี คือจริงๆ ผมเป็นคนที่อาจจะมีโลกส่วนตัวนิดนึง เราคิดว่าคนอาจไม่สนใจเรื่องของเรา เราก็เลยคิดว่าเดี๋ยวไปพูดแล้วบางคนอาจจะหมั่นไส้ เราก็ทำตัวปกติ ก็ทำงานไปตามปกติ
การถ่ายเซ็กซี่ก็ประสบความสำเร็จเหมือนกัน?
หนุ่ม : อันนั้นมันตลกมาก เมื่อก่อนผมร้องเพลง ผมน้ำหนักสัก 40 กว่า ผอมมาก เราอยากจะเปลี่ยนตัวเองยังไง ผมก็ไปเล่นยิม เข้าฟิตเนส ก็เพิ่มมาเป็น 60 กว่ามีกล้าม คือจริงๆ มันไม่ใช่การถ่ายนู้ดหรอก มันใส่เสื้อผ้า เพียงแต่ว่าเขาให้เรามีกล้าม มีอะไร เขาก็โชว์เซ็กซี่ มีติดต่อมาให้ผมแก้ผ้าเลยก็มี แต่ผมไม่ถ่าย มันไม่ใช่ทางเรา เราก็ไม่รู้ทำเพื่ออะไร แต่อย่างนี้มันขึ้นปกเล่มแรก ผมก็เลยลอง
มันส่งผลกระทบกับความเป็นพระเอกของเราไหม?
หนุ่ม : ไม่มีเลย เมื่อก่อนมันจะมีปัญหาเรื่องเราเปิดตัวแฟนก็ไม่ได้ เปิดตัวอะไรก็ไม่ได้ แต่จริงๆ ผมเป็นคนเดียวที่ไม่ปิดเลย ตั้งแต่ออกเทปมา ผมบอกผมมีแฟนแล้ว คือผมอาจจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงว่าเรายืนอยู่บนความจริง ผมบอกมีแล้ว แต่เราจะไม่พูดซ้ำ ไม่พามาย้ำอะไร สมัยก่อนมันไม่มีโซเชียล มีแต่ออกทีวี ออกปุ๊บคุยแล้วหาย
ผันตัวเองมาทำธุรกิจ ได้ข่าวว่าลงทุนไป 600 ล้าน?
หนุ่ม : ใช่ มันคือเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ชื่อว่า คาสิโน มิวสิคสไตล์ สตูดิโอ มิวสิคสไตล์ มันจะมีดิสโก้เทค มีคาราโอเกะ 50 ห้อง มีผับ มีร้านอาหาร มีอะไรอยู่ในนั้นทั้งหมดประมาณ 10 ไร่ ตอนนี้ก็เป็นคอนโดหมดแล้ว คือผมเป็นศิลปินคนแรกที่บ้าดีเดือด ซึ่งเจอด่าก็เยอะ เราคิดอีกสไตล์นึงว่าศิลปินเราต้องหาอะไรทำให้มันงอกเงย
ทำไมถึงเป็นธุรกิจด้านนี้?
หนุ่ม : คิดว่าเราถนัด เราจะไม่ทำอะไรที่เราไม่ถนัด พอทำแล้วมันสนุกนะ 1.ผมได้รู้จักกับนักดนตรี ศิลปิน ผมมีดิสโก้เทค ผมก็จ้างเขามาเล่นคอนเสิร์ต มันก็เป็นคอนเนคชั่นที่มันสานต่อกัน
ณ ตรงนั้นเป็นที่ที่ทันสมัยที่สุด มีอุปกรณ์ทุกอย่างครบที่สุด?
หนุ่ม : ใช่ ถามว่าประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ก็ดังมา 5 ปี พอเริ่ม 40 มันเป็นยุคฟองสบู่ จากค่าเงิน 25 บาทไป 50 บาท คือมันไม่ใช่ธุรกิจเราธุรกิจเดียว ธนาคารปิดเพียบ เราก็เหมือนกู้ธนาคารมา เราก็ล้มเป็นโดมิโน่
ที่ได้ยินมาสาเหตุที่เราสามารถเปิดคอมเพล็กซ์ที่มันใหญ่ขนาดนี้ได้ หนึ่งสาเหตุก็คือป๋าเปรม?
หนุ่ม : ใช่ครับ บอกได้เลยว่าในชีวิตผมนอกจากคุณพ่อคุณแม่ ผมคิดว่าป๋าเปรมเป็นผู้ที่มีบุญคุณอีกคนในชีวิต ที่ให้การสนับสนุน ให้การช่วยเหลือ ซัพพอร์ตทุกอย่าง เพราะผมรับใช้ป๋ามา เวลาป๋ามีงาน ผมก็ไปร้องเพลงให้ป๋าทุกงาน
ทำไมพี่หนุ่มถึงไปสนิทกับป๋าได้?
หนุ่ม : จริงๆ ตอนสมัยเด็ก ตอนผมเรียนอยู่ที่สามเสน วันเด็กเขาจะเอาเด็กนักเรียนไปพบป๋าเปรมที่บ้าน ผมเป็นตัวแทนโรงเรียนไปพบป๋าที่บ้าน หลังจากนั้นพอผมโตขึ้น ผมได้เป็นนักร้อง และได้ไปที่หอสมุดแห่งชาติ ผมก็ไปคัดหนังสือพิมพ์ลงหน้า 1 นะ ไปขอซีล็อกเขามา แล้วมาใส่กรอบ แล้วมาหาป๋า บอกป๋าครับนี่ผมตอนเด็ก นี่ผมได้เป็นศิลปินแล้ว ผมจะมาร้องเพลงรับใช้ป๋า มันก็เริ่มผูกพัน ป๋าก็ดีใจ เขาบอกนึกไม่ถึงเลย แล้วเขาก็ซับพอร์ตทุกอย่าง ตอนธุรกิจเจ๊งผมก็เซเหมือนกันนะ พอล้มไปปุ๊บผมเป็นหนี้ขึ้นมา 1,000 เลย พอมันหยุดปุ๊บ ดอกเบี้ยมันเพิ่ม ตอนแรกผมกลับไปบ้าน ผมคิดจะฆ่าตัวตาย หยิบปืนแล้วผมคิดว่าผมจะยิงทั้งบ้านเลย คือมันสุดๆ แล้วแต่ว่ามันชั่ววูบ ผมหยิบมาคิดว่าไปเลยมันจะได้จบหมด แต่เผอิญผมหันไปเห็นรูปป๋าที่แตะไหล่ผม
วันนั้นพี่ได้คุยกับป๋าไหม?
หนุ่ม : ก็โทรไปหา ป๋าก็บอกว่าเสกไม่เป็นไร อายุเสกยังน้อย ไปเริ่มต้นใหม่ ถ้าวันนั้นไม่เห็นรูปป๋า ผมคงไม่ได้มานั่งคุยในวันนี้ ที่เอามาพูดในวันนี้ผมคิดว่า จริงๆ ผมก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้เยอะๆ แต่อยากจะบอกให้มันเป็นอุทาหรณ์ คนเราทุกคนมันมีปัญหา แต่อยู่ที่สติ ถ้าเรามีสติ ผมย้อนกลับมานะ วันนั้นถ้าเราทำไป มันดังเพราะฆ่าตัวตาย ปิดชีวิตตัวเอง จบ เจ๊ง 1,000 ล้าน แต่ปัญหาที่ตามมามันก็จบวันนั้น แต่พอวันนี้เราย้อนกลับไป มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าทำ เราเข้าใจคนเวลาคนคิดสั้น ชั่วโมงนั้นแค่จับปืน ทุกอย่างมันสั่นหมด เพราะสติมันไม่มี
ณ ตอนที่ป๋าเปรมพูด พี่หนุ่มอายุยังน้อย มันไม่ได้มีพี่หนุ่มคนเดียวนะที่เจอแบบนี้ พี่หนุ่มคิดได้ในทันทีไหม?
หนุ่ม : ก็ร้องไห้เลย แบบป๋าไม่โกรธนะ บอกป๋าไม่เคยโกรธลูกเลย ไม่เป็นไรเสกมันล้มไป เราก็เริ่มต้นใหม่ เรายังมีความสามารถ เสกยังร้องเพลงได้ มีความสามารถเยอะแยะ ไปทำเถอะ สักวันมันก็จะขึ้นมาใหม่
ถ้าสมมติป๋ารับรู้ได้ อยากจะบอกอะไรกับท่าน?
หนุ่ม : จริงๆ พอผมคิดได้แล้วเนี่ย ผมก็ไปกราบท่าน แล้วผมบวชให้ท่านนะ ผมบอกป๋าครับลูกไม่มีอะไรจะตอบแทน ขอบวชทดแทนพระคุณป๋าแล้วกัน ผมบวชให้ป๋า แล้วป๋าก็ได้ใส่บาตรผมด้วย นี่คือสิ่งที่ผมสุดๆ แล้ว อย่างน้อยตอบแทนพระคุณของป๋าด้วยการบวชให้ป๋า
แต่ในสังคมไทย พอสนิทกันมากๆ คนก็เม้าท์ เห็นบอกว่านั่งเม้าท์ต่อหน้าพี่เลยเหรอ?
หนุ่ม : ผมเป็นคนนึงที่บางคนไม่เคยรู้จักผมเลย แต่คุยเรื่องผมเหมือนรู้จักเลย แล้วนั่งอยู่ข้างๆ ผมบอกพี่หยุดได้แล้ว เขาพูดแบบผมเป็นลูกป๋าต้องแบบอะไร คิดในทางที่ไม่ดี คือคุณไม่รู้จักผม คุณก็ไม่รู้จักป๋า เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณพูดไม่ใช่ความจริง ถ้าผมทำอะไรอย่างที่คุณพูด ผมจะบอกเลยว่ามันใช่ แต่นี่มันไม่ใช่ ผมเจอป๋าผมก็กอดป๋า ผมเป็นลูก ผมลาป๋าผมก็กราบเท้าเหมือนพ่อแม่ แต่สิ่งที่เขาพูด เขาอาจจะไม่ชอบผมก็ได้ แต่ผมก็บอกพี่ไม่ชอบผม พี่ไม่ต้องเขียนเชียร์ผมก็ได้ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าสิ่งที่พี่พูด พี่รู้ไม่จริง
ตอนนั้นที่พี่ได้ยิน พี่เคลียร์เลย?
หนุ่ม : นิสัยผม ถ้าอยู่อย่างนั้นผมจะเคลียร์เลย พี่ไม่ชอบก็อย่าเขียนเชียร์ผมเลย เพราะพี่รู้ไม่จริง ผมเจ๊ง บอกผมไปโกงแบงก์มา คือคนเราไปโกงแบงก์ได้เหรอ เวลาพูดมันก็ไม่ใช่แล้วไง เพราะฉะนั้นเรื่องแบบนี้ถ้าอยู่ใกล้ๆ แล้วได้ยินจะเคลียร์เลย ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรผมไม่โกรธพี่ สิ่งที่พี่พูดมันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วมันมีผลกระทบกับป๋า ผมเลวไม่เป็นไร แต่แตะต้องป๋าผมไม่ได้
ทีมงานบอกว่านักข่าวโดนเด้งเลย?
หนุ่ม : ก็มันช่วยไม่ได้ เพราะผมถือว่าผมปกป้องป๋า คือผมจะเลวยังไง นักข่าวมันก็มีทั้งชอบและไม่ชอบ ผมก็บังคับไม่ได้ แต่คนเราต้องพิสูจน์ คนพูดบางที
Related Keywords