รัฐและเร

รัฐและเราเรียนรู้ไปด้วยกันได้ จาก 'อาลัวพระเครื่อง'


ศุกร์ 30 กรกฎาคม 2564
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
30 กรกฎาคม 2564
47
รัฐและเราเรียนรู้ไปด้วยกันได้ จาก 'อาลัวพระเครื่อง'
อาลัวพระเครื่อง อีกหนึ่งกระแสที่เป็นประเด็นทางสังคม แม้วันนี้ประเด็นดังกล่าวจะเงียบไปแล้ว แต่ก็มี #หิมพานต์มาร์ชเมลโล่ และอื่นๆ ตามมา
บทความโดย สิรนันท์ เดชะคุปต์
อาลัวพระเครื่อง à¸­à¸µà¸à¸«à¸™à¸¶à¹ˆà¸‡à¸à¸£à¸°à¹à¸ªà¸—ี่เป็นประเด็นทางสังคม แม้วันนี้ประเด็นดังกล่าวจะเงียบไปแล้ว แต่ เราได้เห็นบทบาทของสำนักพระพุทธศาสนาที่มีการลงพื้นที่ตรวจสอบ เพื่อชี้แจงว่าการทำ “ขนมอาลัวพระเครื่อง” นั้นไม่เหมาะสม และขอความร่วมมือให้เลิกผลิต โดยที่สำนักพุทธฯ ไม่มีการห้ามอย่างเป็นทางการ เพราะไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจไว้
เรื่องนี้มีการแสดงความเห็นที่หลากหลายในสังคมออนไลน์ ทั้งเห็นด้วยกับสำนักพุทธฯ และไม่เห็นด้วย เช่นเดียวกับหลายกรณีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปอุลตร้าแมน หรือทศกัณฑ์หยอดขนมครก และเรื่องทั้งหมดลงเอยคล้ายกันคือฝ่ายที่ผลิตผลงานเป็นฝ่ายขอโทษและแก้ไขผลงาน
ในช่วงเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก ก็มีกระแส #หิมพานต์มาร์ชเมลโล่ หรือรูปปั้นสัตว์หิมพานต์ที่ทำหน้าที่เฝ้าวัดท้องถิ่นในภาคอีสานและภาคเหนือตอนล่าง รูปปั้นสัตว์เหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยศิลปินในชุมชน ทำให้มีการลดทอนรายละเอียดและความประณีตลง แต่มีความ ‘น่ารัก’ ในสายตาผู้พบเห็น จนทำให้มีการแชร์ภาพลงสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากและเกิดเป็น แฮชแท็กหิมพานต์มาร์ชเมลโล่ ทำให้มีศิลปินอิสระวาดภาพและปั้นตุ๊กตาออกจำหน่ายในรูปแบบของสินค้า โดยขออนุญาตจากเจ้าอาวาสและแบ่งรายได้บางส่วนให้กับวัด
กรณี “อาลัวพระเครื่อง” กับ #หิมพานต์มาร์ชเมลโล่ อาจไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันว่าควรทำเป็นสินค้าได้หรือไม่โดยตรง เนื่องจากสัตว์หิมพานต์ไม่ใช่สิ่งเคารพบูชาเหมือนพระเครื่อง แต่ทั้งสองกรณีต่างก็เป็นการนำวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับศาสนามาผลิตเป็นสินค้าในฐานะงานสร้างสรรค์เช่นเดียวกัน ซึ่งสะท้อนวิธีการมองวัฒนธรรมและศาสนาในกรอบคิดที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งในมุมผู้ประกอบการ หน่วยงานรัฐ พุทธศาสนิกชน และประชาชนทั่วไป
หากมองในมุมผู้ประกอบการหรือตลาด การผลิตสินค้ามาขายนั้นเป็นการใช้เสรีภาพทางศิลปะและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ประกอบกับบริบทของทุนนิยม บริโภคนิยม และเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้การนำวัฒนธรรมมา ‘ขาย’ นั้นเป็นการสร้างเศรษฐกิจวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ที่มักนำเสนอวัฒนธรรมต่าง ๆ ผ่านภาพยนตร์ ละครชุด การ์ตูน สินค้า อาหาร ขนม และการท่องเที่ยว ดังนั้น หากมองในกรอบของตลาด เมื่อสินค้าที่ผลิตออกมาขายมีแล้วตลาดหรือผู้บริโภคมองว่า ‘ไม่เหมาะสม’ ตลาดจะเป็นผู้ตัดสิน โดยผู้บริโภคอาจไม่ซื้อและไม่สนับสนุนสินค้านั้น เมื่อขายไม่ได้ผู้ประกอบการก็จะต้องปรับเปลี่ยนหรือเลิกผลิตไปเอง
อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมและศาสนายังมีมุมที่เกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐเสมอ โดยรัฐหรือหน่วยงานของรัฐสามารถ ‘เลือก’ ที่จะมีนโยบายหรือมาตรการต่อบางวัฒนธรรมหรือบางศาสนาได้ เช่น การระบุให้มีการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทไว้ในรัฐธรรมนูญ การมีสำนักพระพุทธศาสนาเป็นหน่วยงานรัฐ โดยไม่มีหน่วยงานรัฐสำหรับศาสนาอื่น เป็นต้น
การเลือกวัฒนธรรมและศาสนาโดยรัฐนี้เอง ทำให้เกิด
‘วัฒนธรรมหลัก’ ที่รัฐปกป้องคุ้มครองไม่ให้ประชาชนนำไปใช้ได้อย่างเสรีอย่างกรณีอาลัวพระเครื่อง และ ‘วัฒนธรรมชายขอบ’ ที่รัฐปล่อยให้เป็นไปตามกลไกสังคมและตลาดอย่างกรณีหิมพานต์มาร์ชเมลโล่
ในมุมของประชาชนทั่วไป แต่ละคนย่อมมีความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแตกต่างกัน เนื่องจากประสบการณ์ที่ต่างกัน บางคนรู้สึกว่าการทำขนมรูปพระเครื่องนั้นทำได้เพราะต่างประเทศก็มีการทำขนมรูปพระพุทธรูปขาย แต่บางคนอาจรู้สึกไม่ดีเนื่องจากเคารพบูชาพระเครื่อง พระเครื่องมีคุณค่าในฐานะ ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ที่ผูกกับวัฒนธรรมและศาสนาซึ่งมีลักษณะเป็น ‘ศูนย์กลาง’ และต้องการความเคารพ โดยไม่นำไปใช้อย่าง ‘ไม่เหมาะสม’
ความแตกต่างเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้เป็นปกติ แต่ความแตกต่างจะนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะป้องกันความรุนแรงก็à�

Related Keywords

Melbourne , Victoria , Australia , Thailand , , Bureau July Tim , Office July Tim , Buddhist Figure , Permission Abbot , State Buddhists , Country Japan Korean , மெல்போர்ன் , விக்டோரியா , ஆஸ்திரேலியா , தாய்லாந்து ,

© 2025 Vimarsana