comparemela.com


แบงก์ชาติไม่ถอยลดดอกเบี้ย สั่งแบงก์-น็อนแบงก์รายงานต้นทุนยิบ คาดประกาศลดเพดานดอกเบี้ย 2-3% แบบชั่วคราวปีครึ่ง ลุ้นเริ่ม ก.ย. 64 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี เปิดข้อมูลลดดอกเบี้ย “สินเชื่อบุคคล-จำนำทะเบียน” ช่วยลดภาระประชาชนปีละเกือบ 2 หมื่นล้าน วงในเผยกระตุ้นการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนโยบายของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการลดภาระหนี้ของประชาชน และขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทบทวนเพดานอัตราดอกเบี้ย และกำกับดูแลบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และจำนำทะเบียนรถ
เบื้องต้น ธปท.ได้ให้สถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (น็อนแบงก์) ส่งรายงานข้อมูลต่าง ๆ สินเชื่อแต่ละประเภทย้อนหลัง 2 ปี (ปี 2562-2563) ภายในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ เพื่อนำไปวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนการเงินของแต่ละสินเชื่อทั้งระบบ เพื่อนำไปใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการปรับเพดานอัตราดอกเบี้ย หรือออกกฎกติกาที่เหมาะสมต่อไป
หนุนลดชั่วคราว 1 ปีครึ่ง
แหล่งข่าวจากสถาบันการเงินเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้แบงก์และน็อนแบงก์ทยอยส่งรายงานข้อมูลให้กับ ธปท. ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2 ก.ค. 2564 ทั้งในเรื่องของต้นทุนทางการเงิน ช่วงอัตราดอกเบี้ยที่คิดกับลูกค้าแต่ละประเภทสินเชื่อ และข้อมูลทั้งพอร์ตสินเชื่อ เนื่องจากจะเป็นข้อมูลใช้ประกอบในการตัดสินใจนโยบายของ ธปท.
อย่างไรก็ดี ภายหลังจาก ธปท.ได้พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ แล้ว คาดว่าอย่างเร็วที่สุดภายในกลางเดือน ก.ค.นี้ น่าจะมีการประกาศปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยในกรอบ 2-3% ครอบคลุมทั้งสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ และบัตรเครดิต โดยคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2564 เป็นต้นไป โดยกรอบระยะเวลาบังคับใช้จะเริ่มตั้งแต่ปี 2564-2565 และจะปรับเพดานอัตราดอกเบี้ยกลับมาเป็นปกติภายในวันที่ 1 ม.ค. 2566
รายเล็กแข่งเหนื่อย
แหล่งข่าวกล่าวว่า การปรับลดเพดานดอกเบี้ยอาจทำให้เกิดการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ซึ่งในแง่รายใหญ่ยังคงแข่งขันได้ แต่ในทางกลับกัน ธุรกิจรายเล็กอาจจะลำบากมากขึ้น เพราะมีต้นทุนบริหารจัดการที่สูงกว่า อาทิ ต้นทุนการเงิน 4% ต้นทุนพนักงาน 8-12% รวมมีต้นทุน 16% และหากรวมต้นทุนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 2% สะท้อนว่ามีต้นทุนรวม 18% ซึ่งจะทำให้ต้องตัดลูกค้าที่ติดเพดานการถูกปฏิเสธ (reject) ออก ซึ่งอาจเห็นบางรายถอดใจในการทำธุรกิจได้
“ตอนนี้แต่ละประเภทสินเชื่อทยอยส่งข้อมูล คาดว่าอย่างเร็วภายในกลางเดือน ก.ค.จะมีประกาศออกมา โดยแนวคิดจะเป็นการปรับลดเพดานเป็นการชั่วคราว เพื่อช่วยลูกค้า 1-1 ปีครึ่ง เพราะถ้าปรับถาวรก็จะยิ่งทำให้การปล่อยสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าทั้งแบงก์และน็อนแบงก์พร้อมจะปรับตัวโดยการรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น แม้ว่ามาร์จิ้นจะลดลง แต่โดยรวมเชื่อว่ายังคงมีกำไรอยู่ แต่หากเทียบกับประมาณการตั้งสำรองหนี้เสียที่เกิดขึ้นก็อาจจะเห็นกำไรลดลง หรือแทบจะขาดทุน”
ลดภาระดอกเบี้ยพีโลนหมื่นล้าน
นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb Analytics) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรณีการปรับลดเพดานดอกเบี้ยรายย่อย จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้มากน้อยแค่ไหนนั้น จากการประเมินพบว่า สินเชื่อส่วนบุคคล (พีโลน) จะช่วยลดภาระประชาชนมากที่สุด เนื่องจากมียอดสินเชื่อคงค้างก้อนใหญ่ที่สุด โดยในระบบธนาคารพาณิชย์มีอยู่ 208,463 ล้านบาท และในกลุ่มน็อนแบงก์ 236,808 ล้านบาท
ทั้งนี้ กรณีมีการปรับลดเพดานดอกเบี้ยลง 1% ในระยะเวลา 1 ปี จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยประชาชนลง 4,453 ล้านบาท และกรณีลดลง 3% จะลดภาระประมาณ 13,358 ล้านบาท
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจบัตรเครดิต อาจจะลดภาระดอกเบี้ยไม่ได้ทุกคน เนื่องจากมีลูกค้าที่ชำระขั้นต่ำประมาณ 40% ของพอร์ตสินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีภาระดอกเบี้ย 16% ซึ่งปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์มีอยู่ประมาณ 246,721 ล้านบาท และน็อนแบงก์ 164,166 ล้านบาท กรณีปรับลดเพดาน 1% จะช่วยลดภาระ 1,644 ล้านบาท และหากลด 3% จะลดภาระดอกเบี้ยประมาณ 4,931 ล้านบาท
สำหรับกรณีจำนำทะเบียนรถ ซึ่งพอร์ตส่วนใหญ่จะอยู่กับน็อนแบงก์ ประมาณ 124,740 ล้านบาท และธนาคารพาณิชย์ 29,242 ล้านบาท หากมีการปรับลด 1% จะช่วยลดภาระได้ 1,540 ล้านบาท และหากลด 3% จะช่วยลดภาระ 4,619 ล้านบาท
จำนำทะเบียนลดได้อีกเยอะ
“ในแง่ต้นทุนแบงก์กับน็อนแบงก์อาจจะแตกต่างกันไม่มาก แต่หากดูประเภทสินเชื่อที่มีช่องว่างปรับลดได้ จะเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล และจำนำทะเบียน ซึ่งปัจจุบันคิดดอกเบี้ยในอัตราเฉลี่ย 24-25% กำหนดเพดานดอกเบี้ยสูง เพราะเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง มีโอกาสปล่อยและไม่ได้คืนสูง แต่ก็ยังมีรูมในการลดลงได้อีก เพราะดอกเบี้ย 24-25% โดดมาก แต่ก็ต้องยอมรับอาจจะต้องทำให้การคัดกรองลูกค้ามีความเข้มข้นขึ้นได้
ส่วนบัตรเครดิตแม้จะมีการปรับลดลงแล้ว 4% แต่ลดได้อีกเพื่อช่วยลดภาระประชาชน เป็นการลดความเดือดร้อนที่ตรงจุด แต่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จึงต้องเน้นวิธีการปรับโครงสร้างหนี้ หรือการรวมหนี้ debt consolidation โดยการเอาสินเชื่อไม่มีหลักประกันรวมกับสินเชื่อที่มีหลักประกัน จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยผ่อนลงมาเยอะ จาก 24% เหลือเฉลี่ย 6-7% เท่านั้น” นายนริศกล่าว
ธุรกิจขานรับพร้อมปรับลด
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล หรือ MTC เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนจาก ธปท. หากส่งสัญญาณการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยลงเฉลี่ย 1-2% บริษัทก็ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา บริษัทปล่อยสินเชื่อโดยคิดดอกเบี้ยกับลูกค้าต่ำกว่าเพดานกำหนด เฉลี่ยสูง 3-5% จึงมองว่าหากมีการปรับลดเพดานจริงก็ไม่กระทบต่อธุรกิจของบริษัท
ด้านนางสาวเรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้อำนวยการธุรกิจสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม” ในเครือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้การคิดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถของ “เคทีซี พี่เบิ้ม” สัดส่วนที่คิดในอัตราเต็มเพดาน 24% มีค่อนข้างน้อย ซึ่งกว่า 90% ของพอร์ต คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 21%
ในเบื้องต้นเข้าใจว่า ธปท.อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการธุรกิจ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ย
“ตอนนี้แบงก์ชาติกำลังรับฟังความคิดเห็นอยู่ถึงผลกระทบต่าง ๆ หากปรับลดก็คงไม่เยอะ ขณะที่สถาบันการเงินคงไม่ได้อยากให้ลด เพราะดอกเบี้ยจะสะท้อนความเสี่ยงลูกหนี้แต่ละราย แต่เชื่อว่าทุกคนก็ปรับตัวไปในเรื่องของการคัดกรองที่อาจจะต้องเข้มขึ้น แต่ก็ไม่ต้องการให้ลูกหนี้ออกนอกระบบ ซึ่งจะเห็นว่าดอกเบี้ยนอกระบบปัจจุบันค่อนข้างสูงถึงกว่า 300%”

Related Keywords

Gibraltar ,Thailand ,United Kingdom ,A Prayuth Chan ,Kumar Jin ,London Thailand Co Ltd ,Senior Center ,Banka Thailand ,Bank National ,Banka Bank ,Secretary General ,Prayuth Chan ,Finance Private ,Nano Finance ,National Chairman Plc ,Pisf Or Private ,Miss High Morning Sri ,ஜிப்ரால்டர் ,தாய்லாந்து ,ஒன்றுபட்டது கிஂக்டம் ,மூத்தவர் மையம் ,வங்கி தேசிய ,பாங்கா வங்கி ,செயலாளர் ஜநரல் ,பிரயுத் சான் ,நிதி ப்ரைவேட் ,நானோ நிதி ,

© 2025 Vimarsana

comparemela.com © 2020. All Rights Reserved.